เอลฟ์น้อยผู้ซุกซน

กาลครั้งหนึ่งในเมืองที่มีชีวิตชีวา ซึ่งเรียกกันว่าหมายถึงเมืองของมนุษย์ มีเอลฟ์น้อยผู้ซุกซนอยู่ตัวหนึ่ง เอลฟ์ไม่ได้เป็นเหมือนคนในจักรวาลมนุษย์ที่คุณอาจคิด มีความแตกต่างจากพวกเขามากมาย แถมยังตัวเล็กมากจนสามารถซ่อนตัวในดอกบัวหรือน้ำผึ้งได้ หรือแม้แต่ในดวงตาของนกตัวน้อยถ้าพวกเขาผู้นั้นต้องการ แต่เอลฟ์น้อยนี้ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น เขามีขนาดพอดีกับเด็กชายตัวเล็ก และชื่อของเขาคือ เอลฟี่

เอลฟี่อาศัยอยู่ในป่าลับที่เต็มไปด้วยกระรอกที่กระตือรือร้น นกกาและกระต่ายตัวน้อยที่ขบขัน และสัตว์น่ารักอีกมากมาย และเมื่อทุกคนในเมืองหลับ ใหญ่ในเวลากลางคืน เอลฟี่และสัตว์ในป่าจะมีการเฉลิมฉลองกัน และเอลฟี่จะยืนอยู่บนท่อนไม้และเต้นรำและร้องเพลงให้กับพวกเขาจนเช้าสว่างและคนในเมืองตื่น

แต่เอลฟี่ผู้ที่ชอบซุกซนต้องการเป็นตลกแม้ในเวลาที่ผู้คนตื่นขึ้น ดังนั้นเขาเลยเล่นกลป่วนไปตลอดทั้งวัน โดยมักเล่นตลกแย่ๆ กับพวกเขาและสัตว์ในป่าด้วย เขามักจะผูกหางสัตว์ในเชือกที่ไม่ดี และดึงหนวดของพวกมัน หรือจะขโมยผักและดึงดอกไม้ในสวน ผ่านไปทั่วป่า เขาเล่นตามได้อย่างรวดเร็ว ซ้ายทีขวาที กระโดดเข้าไปในร่องน้ำและออกมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีการพูดกันอย่างไม่สุภาพว่าจะเหมือนเขาดึงขาของทุกคน

และวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่แย่กว่าปกติ มีดอกบัวที่สวยงามในแม่น้ำบานสะพรั่ง เมื่อผู้คนในเมืองตื่นนอนในเช้า พวกเขาก็เห็นดอกบัวถูกซัดขึ้นฝั่งและปกคลุมไปด้วยดอกไม้เน่าและดอกเดซี่ ราวกับว่าใครบางคนได้แต่งตัวพวกมันในชุดนอนและหมวกสำหรับเด็กตัวหนึ่ง และวางเด็กน้อยลงไปนอนหลับและสูดอากาศ

จากนั้นผู้คนก็มาที่แม่น้ำอย่างตื่นเต้น ไม่รู้อะไรเลยว่านี่คือผลงานของเอลฟี่ พวกเขาหัวเราะออกมาจนเจ็บข้าง โดยมองไปยังดอกเดซี่และดอกเน่าที่อยู่ใกล้ดอกบัว ในนครด้านบนพวกเขาคงคิดว่านางฟ้าคู่น้ำต้องการเล่นตลกกับพวกเขาด้วย เพราะวันนี้เป็นวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ แต่สิ่งที่นางฟ้าคู่น้ำทำคือนั่งร้องไห้อย่างเงียบๆ ในลานของเธอให้ทั้งโลกหัวเราะเยาะเธอ

สัตว์ในป่ายังคร่ำครวญกันอย่างมาก เพราะพวกมันมีความแค้นต่อเอลฟี่ พวกมันหันหลังให้เขาและตั้งชื่อเรียกเขา และเล่าราวให้กันฟัง คุณลุงจิ้งจอกซึ่งเป็นผู้ที่ค้นพบครั้งแรกว่าเอลฟี่ดึงขนที่ฟูจรดปลาย ฝนคราวนี้จึงมีสีเทาเหมือนกับมีหิมะตกอยู่ในบ้าน สำหรับคุณแม่กวางใจใหญ่นั้นยังค่อนข้างยากที่จะเชื่อว่าเอลฟี่เป็นผู้ทำให้เกิดรูในเสื้อโค้ทใหม่ที่สวยงามของเธอ แต่มีสัญญาณล่าสุดที่มากกว่าเดิมสัมพันธ์กับเรื่องนี้ได้ถูกให้แก่ผู้พบเห็น มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบของวันประมาณสิบห้านาทีหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และดวงจันทร์เริ่มขึ้น เมื่อเอลฟี่พบกวางใจเพื่อนบ้าน และเดินอยู่กับเธออย่างไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าหากว่าสายตาของเธอได้เห็นเอลฟี่ที่หญ้ากับกันอยู่ในสายตา! เขาทั้งตัวเต็มไปด้วยยางไม้ที่ดีและหิมะกลางวัน จนทำให้ต้องสงสัยว่าฤดูหนาวได้เดินทางไปที่ป่าของเขานิดหน่อย

แต่ทั้งหมดนี้ไม่เพียงพอที่จะว่าเอลฟี่สำหรับสิ่งที่เขาทำต่อเพื่อนบ้าน ในกลางเมืองมีถังใหญ่ทำจากวงเหล็กที่ถูกตั้งขึ้น ทั้งหมดนี้ใช้สำหรับทิ้งขยะ หนึ่งสามารถเข้าไปได้โดยไม่ต้องกระโดด ดังนั้นวันหนึ่งเอลฟี่คิดว่าเขาจะส่งดอกไม้ไปตามเมืองโดยตรง สายๆ เมื่อทุกคนอยู่บ้าน เขาได้กระโดดลงไปในถังขยะ บีบตัวเองเข้าไป และพลิกดอกไม้ในนั้นซึ่งหลอมละลายไปหมด จนเขาต้องรีบวิ่งไปเอาน้ำมาอีก เพราะไม่เช่นนั้นเขาคงจะจมน้ำตายในเศษซากโสโครกที่เน่าเปื่อย และหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง

ในขณะนี้เอลฟี่ได้กลายเป็นเอลฟ์อย่างแท้จริง และเขาไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้อีกเลยนอกจากว่าเขาคือเอลฟ์ และเมื่อเขานั่งอยู่ในมุมที่เศร้าใจในถังโดยไม่มีชิ้นส่วนของดอกไม้ที่สวยงามเหลืออยู่เลย เขาก็กลายเป็นเอลฟี่ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้คนในเมืองที่ทิ้งขยะสกปรกให้เขา

เขารู้สึกน่าสงสารมาก ไม่มีใครมาหาเอลฟี่ผู้โชคร้าย เพราะสัตว์ต่างกลัว ไม่ต้องการถูกทิ้งหยากเยียดเหมือนที่เอลฟี่เคยทำกับพวกมัน เขาจะต้องทำอย่างไร? เขาได้เข้าสู่สถานการณ์ที่เด็กน้อยควรจะได้รับหลังจากที่พ่อแม่ลองเสื้อผ้าที่ยาวเกินไปแขนและขาให้กับเขา

“โอ้ โอ้! ฉันรู้สึกเสียใจกับสิ่งนี้” เขาพูดพร้อมกับสะอื้นเหมือนเด็กให้กับผู้ที่อยู่ด้านบนผู้ซึ่งวิ่งมาพร้อมเสียงร้องเสียงหวีดและใช้เวลานานก่อนที่จะเชื่อใจอีกครั้ง เขาจึงร้องไห้น้อยลงกว่าปกติ ถ้าเขาต้องการที่จะเป็นที่รักแล้วเขาต้องรักด้วยเช่นกัน สัตว์ทั้งหมดรู้ทั้งพื้นที่และเขาก็รู้เช่นกัน และเขาจึงส่งสารไปยังเพื่อนบ้าน

เอลฟี่สัญญาว่าจะไม่ซุกซนอีกต่อไป และนั่นคือสิ่งที่สำคัญมาก แต่ว่ากวางใจน้อยยังคงทำตัวอย่างอ่อนโยนเดินต่อไป และกำลังจะเดินเข้าสู่ถนนเมื่อมีข้อความจากสัตว์ในป่าซึ่งบอกว่าจะให้อภัยเอลฟี่ถ้าเอลฟี่เพียงแค่ “ส่งดอกไม้มาจากถังขยะ” ให้กับพวกมัน เพื่อที่พวกมันจะได้ลืมสิ่งสกปรกทั้งหมดที่เขาลงมือทำ

“อ๊ะ! โปรดเห็นใจฉันในตอนนี้เถอะ” เอลฟี่ร้องออกมา—“โปรดเห็นใจเถอะ! ฉันขอร้อง!” ทุกภาคของประเทศ นั่นทำให้กวางใจน้อยรู้สึกอ่อนโยน เธอกลับมามองลงไปและกระโดดไปอย่างมุ่งมั่นพวกเขาให้ความยินดี ยืนอยู่โดยนอกและมองขึ้นอย่างตกใจตลอดเวลาที่คุณผู้อ่านที่รักสามารถคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ซีเรียส แต่ว่าเอลฟี่ยังคงรู้สึกสดใสขึ้นเรื่อยไป และพยายามที่จะกลับไปสู่ความสะอาดของห้องของเขา ที่ซึ่งความรู้สึกของเขาสามารถเติบโตได้ ทั้งที่อยู่บ้าน

เช้าของวันถัดมา สัตว์ในป่าก็ต้องมาเอลฟี่เพื่อไปงานเลี้ยงที่กวางได้ส่งไปเรียกพวกเขา ทุกคนมาถึงในที่สุด แต่คุณลุงจิ้งจอกก็ให้ความสนใจมาก แต่ก็มีเพื่อนบ้านในกลุ่มหนูตัวหนึ่ง เอลฟี่เลยตะโกนออกไปเพื่อดูผู้มาเยือนของเขาว่าพวกเขามีอะไรในกระเป๋าของพวกเขาซึ่งกลับหัว เมื่อกลิ่นหอมอบอวลของอาหารสัตว์ในป่า ปรากฎขึ้นรอบๆ ผู้มาเยือน และหลายๆ ตัวก็ได้มอบดอกลืมไม่ลงที่สวยงามเป็นของขวัญจนกลายเป็นเกือกข้อมือไปโดยปริยาย เอลฟี่ก็ได้สวมของขวัญที่น่าบีบหัวใจนี้บนแขนที่งอของเขา

ดังนั้นเอลฟี่ได้โบยไปมา ระหว่างสองผลลัพธ์ตามที่แต่ละแขกสุดแสนจำเป็นต้องทำดีที่สุด ผ้าคลุมสีเทาที่คุณลุงจิ้งจอกได้สร้างให้เขาเหมือนหมวกพอกอเดน และขาของกระรอกที่คล่องแคล่วถูกยึดด้วยไม้สีดำที่นกกระยางพบ จนกระทั่งหัวและด้านหน้าเขาถูกพาดด้วยผ้าซิลค์สีเขียว แล้วถูกใส่ในกระสอบ ข้าราชการน้ำเก่าได้รับชื่อเล่นว่า “ขาของปลั๊กนาน” ซึ่งเขายกใบหน้าที่สูงต่ำของเขาขึ้นไปบนฟ้าเพื่อสวดภาวนา กวางน้อยซึ่งสวยที่สุดนำกิ่งไม้และโคลนหรือดอกไม้ของเธอขึ้นไปไว้ที่หลัง พยายามสูบพลังจากของจานหญ้าเหล็กที่หลอมละลายเหมือนชิ้นแฮมเล็กๆ สู่หม้อทุกคน แต่คุณน้ากระรอกกลับทำได้อย่างชำนาญ ทุกคนแลกเปลี่ยนให้กับสัตว์ที่เอลฟี่กระโดดเข้าหา ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้แต่ละคนผู้หญิที่อยู่ตรงข้ามทำงานที่สร้างสรรค์เก้าอี้ให้กันและกัน

“เหมือนเป็นการฟื้นฟูโลกใบนี้ด้วยความทุ่มเทและความมีน้ำใจ กลายเป็นสิ่งที่เกินกว่าแค่มนุษย์ที่เจ็บป่วย” เอลฟี่กล่าวจากที่นั่งไม้เก้าอี้ของเขา เสาไม้ได้ถูกกำหนดในทุกทางทั้งหมดแล้วทำให้เขาสามารถดึงรถม้าตนเองเพื่อไปกับกวางได้ คุณลุงจิ้งจอกยังรู้สึกไม่พอใจกับมัน เพราะเธอขับรถล้ำเส้นมากเกินไป งานเลี้ยงหลังจากนั้นก็ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงความหลากหลายของป่าทั้งหมด พวกเขากลับบ้านกันแล้ว และเอลฟี่ไม่สามารถช่วยได้เลยที่จะปีนต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด โดยลืมไปว่าเขาได้เข้ามาแทนที่คุณลุงจิ้งจอกเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่สูญเสียไป

วันหนึ่งดีๆ เอลฟี่พบว่าถึงเวลาที่จะออกเสียงส่งเพื่อนของเขาคุณลุง อยู่ในทุกขระของการระบายหลอดเลือดสำหรับความเสียเปรียบ; แต่สัตว์ทั้งหมดไม่หวังอะไรมาก เพียงมันไม่ทำให้เอลฟี่ทำให้ระเบิดอย่างที่เคยทำมาก่อน ด้วยเหตุนี้ สารอดรักสุนัขและเสียงสวดอ้อนวอนกันต่อมาในวันต่อไปเมื่อเขาโลดแล่นอยู่กับพื้น

หนูน้ำที่ตัวใหญ่รู้จักเป็นที่รู้จักกันในนาม “ผู้นำเรือกำลังรบ!” มาพร้อมกับเสื้อผ้าเกลี้ยงเกลาในลักษณะเดียวกับเหล่าผู้ค้าขายชั้นสูงที่เผชิญหน้ากันในงานประชุมของผู้คน ถ้าหากขาดแคลนหรือจำเป็นต้องมีเสื้อเชิ้ต หนูน้ำตัวใหญ่นั้นก็พร้อมที่จะโชว์ขึ้นตรงต่อหน้าคุณ ท่ามกลางนั้น ปีนักรหนังสือหรือ “Coniglio grigio” ยืนอยู่ในห้องรับรองที่แท้จริงนับเป็นอย่างน้อย—ไม่เช่นนั้น เอลฟี่ที่รัก! คุณจะพบเห็นผู้มาเยือนของแมลงน้ำ หอยทาก และหนอนมากกว่าที่จะมานั่งที่โต๊ะของคุณ

“คุณชอบเกมใช่ไหม แต่ขอแค่ให้ฉันทำให้เพียงแต่กับสิงโตเก่าที่สุดของเรา” เอลฟี่กล่าวด้วยเสียงเจือ คำปราศรัยนี้ควรกล่าวถึง—เมื่อใดใจจะถูกส่งไปสู่ความต้องการของใจมวลชนที่ถูกหั่นด้วยอัตราส่วนของกันและกันโดยขอบเขตของใจที่ต่างมุมมอง สี่ถึงคุณผิดเลย

คุณธรรม: ความใจดีสร้างมิตรภาพ; การซุกซนอาจนำไปสู่ความเหงา

English 中文简体 中文繁體 Français Italiano 日本語 한국인 Polski Русский แบบไทย