ในวันที่แสงแดดสดใสที่ทุ่งหญ้าสวยงาม ติน่ากระทิงนอนหลับใต้ต้นไม้ที่เธอชื่นชอบ เธอเพิ่งจะหลับไปเมื่อมีบางอย่างทำให้เธอตื่นขึ้น ไม่ใช่เสียง แต่เป็นเงาขนาดใหญ่ที่มาบังแสงอาทิตย์ที่สว่าง เธอลืมตาขึ้นและนั่งขึ้นเพื่อดูว่าเป็นอะไร
ที่อยู่เหนือเธอ คือสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือ ลูกโป่งขนาดใหญ่ และเด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่ในเก้าอี้ที่ปลายเชือกซึ่งแขวนจากลูกโป่ง! เด็กหญิงโบกมือให้ติน่า และติน่าก็โบกมือกลับไป แล้วเธอเรียกออกไปว่า “เธอกำลังไปไหน และเธอขึ้นไปที่นั่นได้อย่างไร?”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันขึ้นไปที่นี่ได้ยังไง” เด็กหญิงพูด “ฉันกำลังเล่นกับลูกโป่งนี้ จับเชือกอยู่ ตอนนั้นเท้าของฉันลื่น ฉันเสียการทรงตัวและลอยขึ้นไป ฉันอยู่ในอากาศนานมากก่อนที่เก้าอี้จะทำให้ลูกโป่งลงมาใกล้ต้นไม้ของเธอ แต่ตอนนี้มันเริ่มลอยขึ้นอีกครั้ง”
แน่นอน ลูกโป่งขนาดใหญ่ก็ลอยขึ้น และเด็กหญิงก็ลอยและร้องไห้อยู่ที่ปลายเชือกอีกครั้ง ขณะที่ลมพาเธอออกจากทุ่งหญ้า
ติน่ากระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้น “โอ้! น่าสงสาร!” เธอร้องออกมา “ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันต้องช่วยเด็กหญิงนั่น! แต่ฉันจะทำได้อย่างไร?”
ทันใดนั้น โอลี่นกฮูกก็โผลงลงมาจากต้นไม้เก่าของเขาและถามว่า “มีอะไรผิดหรือ ติน่า? เจ้าดูเหมือนจะมีปัญหาใหญ่เกี่ยวกับใครบางคน”
“โอ้ โอลี่!” ติน่าร้อง “ดูที่นั่น! เด็กหญิงกำลังลอยอยู่ในลูกโป่งนั่น และฉันกลัวว่าเธอจะไม่สามารถลงมาได้!”
“น่าเสียดาย” โอลี่พูด “แต่ฉันมั่นใจว่าเราสามารถช่วยเธอได้ถ้าเราฝึกสมองกันให้ดี ฉันจะคิดให้หนักที่สุดที่ฉันทำได้ และเธอก็ควรทำเช่นกัน ไปเถอะ แล้วเราจะพบกันที่นี่ใต้ต้นไม้เก่าอีกครั้งหลังจากสามชั่วโมงเมื่อฉันเรียกเธอ”
กล่าวแล้ว โอลี่ก็โผขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง และติน่าก็เริ่มเดินไปในทิศทางที่เธอเคยไปเพื่อดูว่าเธอจะค้นพบอะไรที่จะช่วยเด็กหญิงได้
เธอเดินไปตามลำธารที่ไหลใกล้ๆ บ้านเล็กๆ โดยลำน้ำซึ่งเรือลำใหญ่เพียงลำเดียวกำลังแล่นไป แล้วหันข้ามทุ่งหญ้า มาถึงเนินเล็กๆ และยังคงเดินต่อไปจนพบฝูงวัว เมื่อไม่มีเชือกผูก พวกมันหัวเราะและร้องเสียงดัง
“ทำไมพวกเธอไม่บินขึ้นไปช่วยเด็กหญิงในลูกโป่งที่ลอยอยู่ในฟ้าสูง?” วัวตัวหนึ่งพูด “ถ้าชาวนาตัดต้นไม้ที่เติบโตอยู่บริเวณขอบป่าแทนที่จะแค่ทิ้งต้นไม้ไว้ เราก็สามารถก้าวไปยังลูกโป่งได้ง่ายๆ และเก้าอี้ของเธอด้วย”
“กระรอกก็วิ่งเข้าออกจากต้นไม้ตลอดเวลา พวกมันสามารถวิ่งไปตามกิ่งไม้ได้” ม้าให้ความเห็น หัวของมันสูงแทบจะเท่าต้นไม้ “ถ้าไม่มีรถไฟวิ่งผ่านต้นไม้ พวกมันคงช่วยเธอได้ตั้งนานแล้ว”
“การป้องกันปศุสัตว์ทำให้ฉันต้องหยุดตอนนี้ ขาโดดเข้าไปในป้องกันปศุสัตว์ได้ง่าย เหมือนเรือเล็กต้องลอดใต้สะพานเหล็กที่ข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี” ม้าคิด
ติน่ากระทิงรู้ว่าเธอทำอะไรเองคนเดียวไม่ได้ และหวังว่าการพบกันครั้งที่สองนี้จะทำให้โอลี่ฉลาดขึ้นเช่นกัน และเต็มไปด้วยเจตนาดี ก่อนที่เธอจะกลับบ้าน เธอพบต้นสนเขียวขจีที่มีนกแจ็สตัวสีฟ้าอยู่เต็มไปหมด เนื่องจากขาของเธอทำให้เธอคลานใต้ต้นไม้ได้ พวกเขาจึงต้องการช่วยเช่นกัน และออกไปกระจายข่าวว่าพวกเขาอาจจะช่วยเด็กหญิงกลับบ้านได้
เมื่อเธอไปถึงต้นโอ๊กเก่าอีกสามชั่วโมงต่อมา เธอก็หอบแทบไม่ไหว ขณะที่โอลี่ซึ่งนั่งเฉย ๆ กลับดูเยือกเย็นเหมือนเดิม
“เจ้าดูเหมือนจะหายใจไม่ออกมาก” เขาพูด “อืม ติน่า ฉันไม่มีอะไรคิดออกเลย หัวของฉันและตัวฉันเต็มไปด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์จึงไม่สามารถคิดอะไรออก มันไม่มีประโยชน์ที่เราจะพยายามร่วมกัน”
“ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำมันได้คนเดียว” ติน่าพูด “แต่เจ้าต้องถามคนที่ไม่อาศัยอยู่ในป่าเป็นอันดับแรก ดังนั้นเจ้าควรบินไปเหนือบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำ และเมื่อเห็นผู้ชายออกมา ก็ห้าวเขาเหมือนที่เจ้าห้าวกับฉัน เขาจะต้องมาที่นี่เพื่อพูดกับเจ้าตามที่เจ้าต้องการ”
โอลี่ทำตามที่เขาถูกสั่ง และชายนาทีก็ออกจากบ้านถือไม้ตกปลาสั้นๆ ไว้ใต้แขนและเตรียมจะไปที่แม่น้ำข้างหลังโรงนา
“คุณชาวนา” โอลี่ร้อง “เด็กหญิงในลูกโป่งกำลังลอยอยู่เหนือทุ่งข้าวของคุณ หากคุณไม่ช่วยเธอ เธอจะลอยออกไปไกลและอาจตกลงมาเจ็บตัวในทางที่น่ากลัวที่ฉันกลัว!”
“คุณบอกว่าหญิงน้อยอยู่ที่ไหน?” ชายมองไปมองมา และโอลี่ก็ส่งเสียงเกี่ยวกับเด็กหญิง
“โอ้! ฉันเห็นเธออยู่เหนือเสาพระเอกใหญ่” ชายชาวนาพูดต่อ ขณะมองผ่านไม้ตกปลา “ในขณะที่ฉันไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอหรือกับตัวเองได้ในตอนนี้ ฉันจะกลับมาเมื่อได้รับงานเสร็จแล้ว”
ไม่นาน เธอเห็นเขาขี่ม้า เขาขี่ไปที่ปลายทุ่งข้าวไกลและหยุด ลงจากม้าและเปิดกระเป๋ากางเกงที่บรรจุของมีคมและทุกอย่างที่อยู่ในกระเป๋าชุ่มและปิดกระเป๋าอีกครั้ง จากนั้นเขาให้อิสระกับม้าและจับจุดหนึ่งของลวดเหล็กใหญ่ที่ผูกอยู่กับตะกร้าของลูกโป่ง ลวดอยู่ในตำแหน่งห้อยลงหลังจากเชือกถูกดึงแน่นมานาน
“อา ฮา!” ชายร้องเมื่อเขาจับลวดได้ มันติดอยู่ในต้นไม้สองหรือสามต้นมาสักระยะ แต่ในที่สุดมันก็หลุดออก ตอนนี้ถ้าเธอยุ่งเหยิงกับกางเกงของเธอหรือลูกโป่งที่มีใครคนหนึ่งเป่าลงมา ล่ะก็ ชิ้นส่วนเก่า ๆ ของฉันมักจะถูกติดกับชิ้นส่วนอื่นก่อนที่ฉันจะซื้อ มันโชคดีแล้ว” ชายพูดเมื่อเขาเดินไปถึงปลายลวดสีน้ำตาล พลาดความเหมือนกางเกงของเขาไป
เด็กหญิงนั้นก็ถูกช่วยออกมาจากลูกโป่ง และชายอีกคนหนึ่งขึ้นบันไดเล็กๆ บนประตูบ้านเป็ดและจับตัวเธอเพื่อไม่ให้ตก และในที่สุดพาเธอไปยังที่แห้งๆ หลังจากที่ชุดของเธอได้รับการสั่นสะเทือน
“กลับ! กลับ! ไม่ได้กลิ่นเหม็นในแม่น้ำหรอ?” ชายชาวนาเตือน “แทนที่จะพาเธอกลับบ้านตามลมดีๆ ที่พาท่านกลับบ้าน ท่านต้องไปขอโทษคุณเจ้านกคูคูที่จะไม่ให้เท้าของท่านชุ่มน้ำ”
นอกจากโอลี่นกฮูกและติน่ากระทิง ทุกคนก็อยู่ที่นั่นที่พบในระหว่างเดินทางผ่านป่า และทุกก้าวและกระโดดที่อาจจะทำให้คุณวัวต้องรีบร้อนล้วนเป็นเรื่องตลก
เด็กหญิงนั้นรู้สึกอับอาย อนึ่ง เธอเคยถูกเลี้ยงด้วยปลาครึ่งเดียว และที่แปลกใจคือเธอได้เรียนรู้อีกครั้งในขณะที่มีหางที่เล็กของโรคอักเสบ
แต่ทุกคนยินดีที่เธอได้ถูกช่วย แม้จะเป็นแบบนี้; และเมื่อเธอกลับถึงบ้าน ทุกคนก็เชียร์
“ติน่าทำมัน,” สัตว์ในป่าอุทานด้วยเสียงดีใจ “โอลี่บอกมายาวนานแล้วว่าเธอจะคิดอะไรออก และท้ายที่สุดเธอก็ทำได้!”
คำเรียกร้องสุดท้ายของชาวนาเมื่อเขากลับบ้านเคียงข้างภรรยาคือให้ฝูงที่อาศัยอยู่ไม่ให้คุณคูคูวางไข่และหยุดมองที่เธอจับไว้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำอะไรที่จะขวางทางใคร ซึ่งสามารถเป็นสิ่งที่คุณคูคูจะทำ
“แต่ฉันช่วยในขณะที่ฉันหายไปจากพวกคุณทุกคน!” เธอบ่นในขณะเดียวกันก็หวังว่าจะมีโอกาสที่จะได้ลงพร้อมๆ กันอีกครั้ง
เธอร้องด้วยความโมโห ส่วนหนึ่งของเท้าหน้าขวาของเธอและส่วนที่เคยไปหาทุกคน หนึ่งได้บอกว่าตะกร้าของเธอเป็นสิ่งที่ถูกลืมเพียงแค่ที่ระดับที่ขาของเธออยู่ คนฉลาดบอกกันว่าน้อยคนจะลงมาได้ถ้าครั้งหนึ่งพูดโดยแม่ของเขาเมื่อทำการปิดทิ้งในมุมแล้วพลิกขวดย้อนกลับ