ในอาณาจักรเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งพลบค่ำ ที่ซึ่งดวงอาทิตย์ได้จูบที่เนินเขาและแสงจันทร์เต้นรำไปตามป่าที่มั่งคั่ง มีอัศวินผู้กล้าหาญชื่อแลนซ์ ที่ผู้คนในเมืองต่างรักใคร่เขา เขาคือฮีโร่ในชุดเกราะที่เปล่งประกาย สร้างรอยยิ้มด้วยเสียงหัวเราะและความกล้าที่เปล่งประกายยิ่งกว่าสุภาพเรียบร้อยของเขา เรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำที่กล้าหาญของเขากระจายไปในอากาศด้วยความสุข และเขามีที่ยืนพิเศษในใจของผู้คน
แต่ภายในใจกลางของป่าที่น่าหลงใหล มีตำนานเกี่ยวกับมังกรที่ถูกกลัว สิ่งมีชีวิตนี้มีปีกที่ cast shadows over valleys, ดวงตาเหมือนถ่านไฟที่กำลังลุกไหม้ และเกล็ดที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีที่มีค่า ชาวบ้านมักจ้องมองไปยังความลึกของป่าอย่างระมัดระวัง หวังว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวจะไม่ปรากฏตัว แต่มีเพียงแค่ตำนาน จนกระทั่งวันหนึ่ง เคราะห์ร้ายเกิดขึ้นเมื่อเมฆหมุนเกรี้ยวกราดและฟ้าผ่าด้วยเสียงสัญญาณแห่งความกลัว
ทันใดนั้น ปากขนาดใหญ่บานออก เปิดเผยความโกรธของธรรมชาติข้างใน และฟ้าผ่ากระแทกเมื่อมังกรโฉบขึ้นสู่ท้องฟ้า อาณาจักรที่สงบสุขยืนอยู่ในความกลัว wondering ว่าสิ่งเลวร้ายใดจะรอพวกเขาอยู่ ในขณะนั้น อัศวินผู้เป็นที่รักของพวกเขาได้ประกาศว่าเขาจะเผชิญหน้ากับมังกรและนำความสงบกลับคืนสู่ดินแดนของพวกเขา
เมื่อเงายืดออกไปตามท้องฟ้ายามพลบค่ำ แลนซ์สวมเกราะของเขา จับดาบและโล่ของเขา และเริ่มเดินทางเข้าสู่ความมืดมิดของป่า อากาศเต็มไปด้วยความคาดหวัง และเสียงที่เคยมีเป็นปกติในป่าก็ตกลงเงียบลงเพื่อแสดงความเคารพต่อการปะทะแห่งชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากที่รู้สึกเหมือนผ่านไปนานนับนาน เขามาถึงในลานที่ถูกส่องสว่างด้วยแสงราวกับวิญญาณ ที่นั่น มังกรได้ลงจอดในพายุลมและฝุ่น มีความวิตกกังวลแต่เศร้าใจ แลนซ์ยืนนิ่ง เขารู้ว่าเจ้ามังกรนี้ไม่ใช่สัตว์ร้ายอย่างที่ขบเคี้ยวเรื่องก่อนนอน แต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเข้าใจผิดที่กำลังแสวงหาความสงบและมิตรภาพ
ด้วยหัวใจที่ไม่แน่ใจ เขาก้าวไปข้างหน้า โดย brandishing ดาบของเขาไม่ใช่เป็นอาวุธ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ มังกรโน้มตัวไปข้างหน้า เผยให้เห็นจิตวิญญาณที่อ่อนโยนเพราะความเหงา เสียงของแลนซ์ที่มั่นคงแต่อ่อนโยน จึงทำลายความเงียบ
“เจ้ามังกรผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้ายามพลบค่ำ สิ่งใดที่ทำให้เจ้าเศร้าหมอง?” เขาถาม รู้สึกว่าเบื้องหลังความงามอันสูงส่งนั้นซ่อนความเปราะบางรอการเปิดเผย
อย่างน่าทึ่ง เสียงของมังกรไม่ใช่เสียงคำราม แต่เป็นเสียงกระซิบเสมือนเสียงใบไม้ลากขอบท้องฟ้า “อัศวินผู้กล้าหาญแห่งอาณาจักร ข้าคิดไม่ให้ความหวาดกลัวเลย ข้าท่องไปในแผ่นดินนี้มานานเหลือเกิน แบกรับความโดดเดี่ยว ทุกคนต่างหนีจากข้า แต่ข้าต้องการเพียงเพื่อน”
หัวใจของเขาพองโตด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ “ข้ารู้เรื่องความเจ็บปวดของเจ้า เพื่อน จะมีผู้คนกลัวข้าจากชุดเกราะของข้า แต่ข้าก็แสวงหาความอบอุ่นของมิตรภาพเช่นกัน บางทีร่วมกันเราอาจแสดงให้แผ่นดินรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความหวัง มังกร頷นอย่างเห็นพ้อง แลนซ์จับกรงเล็บของสิ่งมีชีวิตที่งดงามนี้ไว้ในมือ ความเป็นมิตรได้ผนึกไว้ด้วยความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูด ทั้งสองได้เดินออกจากป่าที่น่าหวาดหวั่นซึ่งเคยซ่อนความลับมากมาย
ในขณะที่พวกเขาเข้าใกล้หมู่บ้าน หัวใจของแลนซ์เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น และอาจจะพวกเขาสามารถเปลี่ยนใจผู้ที่ถูกหลอกลวงด้วยความกลัวได้จริงหรือ? ผู้คนในหมู่บ้านต่างจ้องตาค้าง บางคนอุทานด้วยความตกใจ ขณะที่บางคนยกเสียงร้องด้วยความกลัว แต่เมื่อแลนซ์อธิบายความจริง—ใจของมังกรนั้นเป็นทองคำและบริสุทธิ์ เสียงกรีดร้องของพวกเขาก็กลับกลายเป็นความประหลาดใจและความเคารพ
“เราได้ซ่อนเร้นซึ่งกันและกันนานเกินไป” มังกรพูด เสียงของมันดังก้องไปทั่วฝูงชน “เจ้าจะให้โอกาสข้าสำหรับมิตรภาพหรือไม่?”
อย่างช้าๆ มือหลายคนยื่นออกไป และเด็ก ๆ เริ่มเดินเข้าหามังกร ความอยากรู้อยากเห็นเอาชนะความกลัว เสียงหัวเราะตามมา และไม่นานก็เริ่มเล่นเกมซ่อนแอบ โดยมังกรแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ขณะที่เสียงหัวเราะดังไปทั่วอากาศ
ขณะที่แสงจันทร์อาบอาณาจักรในความสว่างเป็นเงิน มิตรภาพใหม่สดใสขึ้น แลนซ์ อัศวิน ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในเรื่องราวและเพลง เช่นเดียวกับมังกรที่เขาเป็นเพื่อน ตอนนี้กลายเป็นผู้พิทักษ์อันรักยิ่งของท้องฟ้า ทั้งคู่ได้นำความสุขสู่แผ่นดิน สอนว่าบางครั้งสิ่งที่เราหวาดกลัวนั้นก็แค่แตกต่าง แค่รอการเข้าใจ
เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังก้องไปในคืนที่นุ่มนวล เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาอันโชคดีท่ามกลางเงาแห่งพลบค่ำ—เตือนให้ทุกคนรู้ว่า ด้วยความกล้าและหัวใจที่เปิดกว้าง แม้แต่ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็สามารถกลายเป็นครอบครัวได้