ในสมัยโบราณ เมื่ออัศวินเดินทางไปทั่วอาณาจักรอันกว้างใหญ่และมังกรบินอยู่ในท้องฟ้า มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่า วิลโลว์เดล หมู่บ้านเล็กๆ นี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวขจีและลำธารที่สงบ โดยมีความสงบสุขที่ถูกรบกวนเพียงเสียงนกขับขานและเสียงใบไม้กระซิบ อย่างไรก็ตาม สันติภาพนั้นกำลังจะถูกทำลายโดยเงาของสัตว์ร้ายตัวใหญ่.
มีข่าวลือว่ามังกรตัวใหญ่และน่าสยดสยองได้เลือกยอดเขาเอลด์ราธเป็นที่ซ่อนตัว ทุกวัน ด้วยลมหายใจที่ร้อนแรงและเสียงคำรามอันดัง มันจะบินลงมายังหุบเขา เพื่อค้นหาสิ่งที่มันสามารถกินได้ สัตว์เลี้ยงเริ่มหายไป พืชผลร่อยหรอ และไม่นาน ความสิ้นหวังเริ่มคลุมคลุมชาวบ้าน พวกเขาต้องการฮีโร่ อัศวินผู้กล้าหาญเพื่อต่อสู้กับศัตรูนี้.
ท่ามกลางเรื่องราวแห่งความกล้าหาญที่เล่าขานในบาร์และตลาด มีอัศวินคนหนึ่งที่โดดเด่นกว่าใคร เซอร์เซดริก แห่งวิลโลว์เดล เขาสวมเกราะที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาว เซอร์เซดริกมีชื่อเสียงในเรื่องทักษะการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครและความรู้สึกยุติธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ในทุกเรื่องราวที่เล่าเกี่ยวกับเขา การกระทำของเขายิ่งใหญ่จนแม้แต่กวีต้องหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ แต่ที่ทำให้เขาเป็นที่รักที่สุดในใจของชาววิลโลว์เดลคือหัวใจที่อ่อนโยนของเขา.
วันหนึ่งที่โชคชะตากำหนด ขณะที่ดวงอาทิตย์ดิ่งลงต่ำกว่าขอบฟ้า ทาบสีเหลืองและทองลงบนหมู่บ้าน ชาวบ้านได้มารวมตัวกันที่จัตุรัส ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง พวกเขาขอให้เซอร์เซดริกยุติอาวุธต่อสู้กับมังกรที่มารบกวนบ้านเรือนของพวกเขา.
“หัวใจของข้ารู้สึกเศร้าสำหรับพวกเจ้า” อัศวินกล่าว ด้วยเสียงที่ลึกและนุ่มนวล, “จงอย่ากลัว! เพราะข้าจะขึ้นไปบนยอดเขาเอลด์ราธกับแสงสว่างของรุ่งอรุณ และข้าสาบานว่าจะกำจัดสิ่งมีชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือซาตาน.”
เมื่อแสงสว่างของรุ่งอรุณเริ่มส่องสว่าง เซอร์เซดริกสวมเกราะ ขึ้นหลังม้าอันทรงพลัง ชื่อเซราฟีน่า ด้วยโล่ที่ประดับสัญลักษณ์ของต้นวิลโลว์สีเงิน เขาเริ่มปีนขึ้นไปบนยอดเขา อากาศเริ่มเย็นลงขณะเขาไต่ขึ้นไป นกร้องผู้เงียบลงราวกับว่าธรรมชาติกำลังถือหายใจไว้ในความคาดหวัง.
เมื่อเขาถึงยอด summit เสียงคำรามอันดังก้องกังวานสะท้อนผ่านหุบเขา ก่อนหน้านั้นมีมังกรที่มีเกล็ดเปล่งประกายเหมือนลาวาที่หลอมและตาที่เหมือนซาฟ่าเรดที่เจิดจ้า เปลวไฟพุ่งจากปากของมัน เผาไหม้อากาศรอบตัวเซอร์เซดริก.
“ข้าคือเซดริก อัศวินแห่งวิลโลว์เดล” เขาประกาศด้วยเสียงกล้าหาญ “ข้าท้าทายเจ้า สัตว์ร้ายผู้ชั่วร้าย เลิกทำภัยและมาสู้กับข้า!”
ด้วยเสียงแหลมที่ดูเหมือนจะแหวกฟ้า มังกรได้พุ่งเข้าหา มันฟาดหางเหมือนพายุ แต่เซอร์เซดริกที่ว่องไวและรวดเร็วหลบการโจมตีและตอบโต้อย่างกล้าหาญด้วยดาบที่ผ่านการตีมาอย่างดี โดยเสียงโลหะที่กระทบกับเกล็ดดังก้องในภูเขาเหมือนเสียงระฆังแห่งความตาย แต่ความมุ่งมั่นของเซอร์เซดริกไม่ลดน้อยลง.
การต่อสู้นานสามชั่วโมง พื้นดินใต้พวกเขาถูกทำลายโดยไฟและดาบ แต่เมื่อพลบค่ำเริ่มลงมา ส่องสว่างพื้นสนามรบ เซอร์เซดริกพบช่องโหว่ รวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดในตัวเขา เขาทิ่มดาบลงในหัวใจของมังกรอย่างลึกซึ้ง.
ด้วยเสียงร้องสุดท้ายที่เศร้าโศก มังกรเอนตัวลง หายใจร้อนๆ ที่ดับไป เซอร์เซดริกที่เหนื่อยล้าแต่ชนะยืนอยู่เหนือสัตว์ร้ายที่ล้มลง เขากำลังจะClaim ชัยชนะ เมื่อ光บางอย่างในถ้ำของมังกรดึงดูดสายตาของเขา.
เขาเข้าใกล้ทางเข้า พบกับหีบที่มีทองและอัญมณีมากมาย แต่ท่ามกลางขุมทรัพย์นั้นมีสิ่งที่ไม่คาดคิด—รูปปั้นทองคำของต้นวิลโลว์ ปรากฏอยู่ท่ามกลางกองอัญมณีสีแดงระยิบระยับ ดูเหมือนจะบรรยายถึงหมู่บ้านวิลโลว์เดล บ้านเรือนและทุ่งนาที่ประดิษฐ์อย่างสลับซับซ้อน.
เมื่อเขาสัมผัสกับรูปปั้น เสียงนุ่มนวลอันแผ่วเบาดูเหมือนจะกระซิบผ่านสายลม “การป้องกันเกิดขึ้นจากความสามัคคี ขุมทรัพย์นี้ไม่เคยหมายถึงความเศร้าโศก แต่เพื่อเฉลิมฉลอง.”
ด้วยความเข้าใจใหม่ เซอร์เซดริกกลับสู่วิลโลว์เดล ไม่ใช่เพียงในฐานะผู้ฆ่าสัตว์ร้าย แต่เป็นผู้สื่อสารเรื่องราวแห่งความหวัง เขาเล่าเรื่องราวของเขา แบ่งปันทั้งชัยชนะและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมังกร ขุมทรัพย์รูปปั้นเร็วๆ นี้ได้ถูกนำไปที่จัตุรัสของหมู่บ้าน ทำให้ทุกคนมีความเจริญรุ่งเรือง มังกรได้ปกป้องสิ่งที่ควรเป็นของผู้คนเสมอ.
ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านได้เฉลิมฉลองวันมังกร เทศกาลแห่งการอยู่ร่วมกันและความสุข ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านเติบโตขึ้น ทุกคนรู้ว่าสามารถด้วยความกล้าหาญและความสามัคคี แม้สถานการณ์ที่น่ากลัวที่สุดก็สามารถนำมาซึ่งรางวัลอันน่าอัศจรรย์.
เจ้าได้ยินเรื่องราวนี้แล้ว เด็กๆ ที่รัก และจงรู้ไว้ว่า: ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้อยู่เฉพาะในความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความกลัว แต่ในความสว่างที่อยู่ใต้เงามืด และไม่ลืมถึงพลังแห่งชุมชนและความรัก.